COLA Research Talk EP.2 โครงการ “การขับเคลื่อนการบูรณาการความร่วมมือเเละการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาระบบสุขภาพขององค์การบริหารส่วนจังหวัดฯ” สนับสนุนทุนวิจัยโดย สวรส.

รายการ COLA Research Talk  ช่องทางสื่อสารงานวิจัยจากวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น COLA KKU สู่สังคม  EP.2  ดร.ปานปั้น  รองหานาม ผู้บริหารและอาจารย์ประจำ COLA  หนึ่งในทีมนักวิจัยของโครงการนี้ จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับโครงการ “การขับเคลื่อนการบูรณาการความร่วมมือเเละการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาระบบสุขภาพขององค์การบริหารส่วนจังหวัด: กรณีศึกษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น”   The Mobilization for Inter-Agency Collaboration and Citizen Engagement for Developing a Primary Health Care System for Provincial Administrative Organizations: A Cases of Khon Kaen Provincial Administrative Organization  ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยจาก สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กระทรวงสาธารณสุข
.
.
การถ่ายโอนการบริหารระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ จากเดิมกำกับดูแลโดยราชการส่วนกลางซึ่งมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานกำกับดูแลมาอยู่ภายใต้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นับเป็นปรากฏการณ์การปรับเปลี่ยนที่สำคัญในโครงสร้างการบริหารกิจการสาธารณะของไทย ถึงแม้ว่าในภาพรวมการขับเคลื่อนการกระจายอำนาจการบริหารและการบริการสาธารณะจากส่วนกลางลงมายังระดับท้องถิ่นยังเป็นไปค่อนข้างช้า อันเนื่องมาจากปัจจัยทางการเมือง ความชัดเจนของนโยบายและการเอาจริงเอาจังของรัฐบาลใน แต่ละยุค ทรัพยากรและความพร้อมขององค์กรและบุคลากรทั้งหน่วยที่จะถ่ายโอนมาและหน่วยที่จะรับถ่ายโอน ด้วยความต้องการการบริหารและการบริการระบบสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ สะดวกรวดเร็ว และตอบสนอง ประกอบกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่ทำให้มีความจำเป็นและเป็นตัวเร่งให้ภาครัฐต้องปรับปรุงระบบการบริการสาธารณสุขขนานใหญ่ โดยเฉพาะระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิที่มีสถานีอนามัยและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เป็นกลไกในการขับเคลื่อน ด้วยความตระหนักว่าหน่วยบริการสาธารณะในระดับท้องถิ่นควรต้องดูแลรับผิดชอบโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่ง อบจ. ถือเป็นหน่วยงานท้องถิ่นที่มีศักยภาพและความพร้อม มีพื้นที่บริการครอบคลุมทั้งจังหวัด มีความพร้อมในด้านงบประมาณ และประสบการณ์จากการรับถ่ายโอน เช่น โรงเรียน และระบบโครงสร้างพื้นฐาน
.
คณะผู้วิจัยจากวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้เลือกศึกษากรณีศึกษาพื้นที่ อบจ.ขอนแก่น อันเนื่องจากเป็นหนึ่งใน อบจ. ของประเทศไทยที่รับการถ่ายโอน รพ.สต. มาถึง 100 เปอร์เซ็นต์  โดยมีวัตถุประสงค์ในการศึกษาประกอบด้วย 4 ประการสำคัญ คือ (1) เพื่อศึกษาความพร้อมของระบบสุขภาพปฐมภูมิของ อบจ.ขอนแก่น ที่รับถ่ายโอนภารกิจการจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิและ รพ.สต. ในพื้นที่กรณีศึกษา โดยตัวแบบนั้นต้องครอบคลุมและบูรณาการกรอบแนวคิดระบบสุขภาพที่พึงประสงค์ (6 Building Blocks of a Health System) และกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ต้องมีเงื่อนไขมากกว่าการให้ข้อคิดเห็นตามพระราชบัญญัติระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. 2562 (2) เพื่อศึกษาและพัฒนาแนวทางการขับเคลื่อนการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานกับ อบจ. และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบบบริการสุขภาพของอบจ. ในพื้นที่กรณีศึกษา (3) เพื่อสังเคราะห์ข้อเสนอเชิงนโยบายต่อ อบจ. ที่ได้รับการถ่ายโอน รพ.สต. และ (4) เพื่อสังเคราะห์แนวทางการปรับบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานกระทรวงสาธารณสุขในระดับภูมิภาคในการสนับสนุนและส่งเสริมการถ่ายโอน รพ.สต.

.

ผลจากการวิจัย สะท้อนให้เห็นว่า อบจ. มีความพร้อมและความชัดเจนด้านนโยบายในการรับถ่ายโอน รพ.สต. ซึ่งความชัดเจนของนโยบาย (Clear Policy Goal) ของ อบจ. นั้น นำไปสู่ความมั่นใจต่อ รพ.สต.ที่ถ่ายโอนทั้งในมิติของการบริหารจัดการและความมั่นคงในวิชาชีพ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยภาวะผู้นำของทีมผู้บริหาร อบจ. นำไปสู่การมอบและเพิ่มอำนาจการตัดสินใจทางการบริหารให้กับ รพ.สต. การดำเนินการเหล่านี้คือปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญของการถ่ายโอน รพ.สต. ในกรณีของ อบจ.ขอนแก่น อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการดำเนินการถ่ายโอน พบว่า มีประเด็นที่นำไปสู่โอกาสใหม่หรือมิติใหม่ในการทำงานภายใต้โครงสร้างใหม่ เช่น การเติบโตของสายงานของบุคลากร ขณะที่ยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องการการแก้ไขอย่างเป็นระบบทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว ยกตัวอย่างประเด็นสำคัญ ๆ เช่น ความรับผิดชอบของบุคลากรที่คงอยู่ของ รพ.สต. เกินกำลังหน้าที่ อันเนื่องจากบุคลากรจำนวนหนึ่งที่ไม่ประสงค์ย้ายมากับการถ่ายโอนได้ย้ายไปสังกัดส่วนงานของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งประเด็นนี้อาจส่งผลต่อคุณภาพการบริการและการตอบสนองประชาชน นอกจากนั้น บุคลากรผู้ปฏิบัติงานยังต้องการสร้างความมั่นใจและความรู้ความเข้าใจในกฎระเบียบด้านการบริหารจัดการของโครงสร้างใหม่ อีกทั้งในการทำงานที่ผ่านมาก่อนการถ่ายโอน รพ.สต. ต้องทำงานร่วมกันกับหน่วยงานอื่น ๆ ในระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิอีกหลายหน่วยงาน แต่หลังจากที่ถ่ายโอนมาแล้วเมื่อโครงสร้างเปลี่ยน ความสัมพันธ์และการทำงานร่วมกันภายใต้โครงสร้างใหม่อาจส่งผลต่อการทำงานในเชิงเครือข่าย เช่น อสม. สสอ. สสจ. และเครือข่ายระบบบบริการสุขภาพภายใต้โครงสร้างเดิม ในส่วนของการการอุดหนุนงบประมาณพบว่าภายใต้โครงสร้างใหม่นั้นการจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณควรเพิ่มขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมกับภารกิจการบริการประชาชน อีกทั้งจะต้องลดภาระการจัดทำรายงานผลการปฏิบัติงานให้กระชับขึ้นเพื่อจะได้มีเวลามาให้บริการประชาชนมากยิ่งขึ้นซึ่งต้องนำเครื่องมือเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยสนับสนุนในการทำงานและการประสานงานกับเครือข่ายแบบไร้รอยต่อ

.

ถึงแม้ว่าการถ่ายโอนภารกิจ รพ.สต. มายัง อบจ. จะอยู่ในระยะเริ่มต้นของการดำเนินการก็ตาม แต่นี่คือโอกาสสำคัญของการเรียนรู้และการพัฒนาถึงแม้ในบางประเด็นจะมีข้อจำกัดหรือเกิดประเด็นปัญหาขึ้นแล้วก็ตาม คณะผู้วิจัยจึงได้เสนอข้อเสนอเชิงนโยบายในระยะสั้น คือ การพัฒนาบุคลากรให้พร้อมกับการปฏิบัติงานภายใต้โครงสร้างใหม่ทั้งที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมองค์กร วิชาชีพเฉพาะ และที่เกี่ยวกับระบบบริหารจัดการ รวมถึงการกำหนดส่วนงานบริการแบบบูรณาการ (one stop service) เพื่อเป็นจุดศูนย์กลางในการติดต่อประสานงานและให้คำปรึกษา ในระยะยาว อบจ. แต่ละแห่งต้องกำหนดบทบาทที่ชัดเจนของ กองหรือสำนักสาธารณสุขให้มีบทบาทสำคัญในการดูแลภารกิจของ รพ.สต. และกำหนดสัดส่วนบุคลากรที่ทำหน้าที่ที่ครอบคลุมภารกิจต่าง ๆ ให้มากขึ้น มีการประสานงานกันระหว่าง รพ.สต. กับ อบจ. แบบไร้รอยต่อ มีการกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนที่สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริง มีการจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณให้สอดคล้องกับความสามารถและกระชับเครือข่ายของ CU ให้ทำงานร่วมกันแบบประสานความร่วมมือถึงแม้ว่าในเชิงโครงสร้างจะแยกจากกันก็ตาม และที่สำคัญคือการปรับปรุงโครงสร้างและกฎระเบียบที่ อบจ. เคยใช้อยู่แต่เดิมให้สอดคล้องกับบริบทโครงสร้างใหม่ที่ อบจ. มีส่วนงาน รพ.สต. กระจายอยู่ในพื้นที่ทั่วทั้งจังหวัด ซึ่งกฎระเบียบเดิมออกแบบมาสำหรับ อบจ. ที่ส่วนงานรวมศูนย์ที่จุดเดียว ซึ่งความไม่เอื้อของกฎระเบียบนั้นส่งผลต่อความล่าช้าในการตัดสินใจ ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพการให้บริการประชาชน

.

ผู้สนใจสามารถอ่านรายงานวิจัยโครงการฉบับสมบูรณ์ได้ที่:    https://kku.world/bj1xk

.

คณะผู้วิจัยในโครงการฯ 
รศ.ดร.พีรสิทธิ์ คำนวณศิลป์            หัวหน้าโครงการ
รศ.ดร.ธัชเฉลิม สุทธิพงษ์ประชา     นักวิจัย
ผศ.ดร.ศิริศักดิ์ เหล่าจันขาม            นักวิจัย
ผศ.ดร.กฤชวรรธน์ โล่ห์วัชรินทร์     นักวิจัย
ดร.ปานปั้น รองหานาม                    นักวิจัย
.
.
ภาพ/ข่าว:  จิตรลัดดา  แสนตา ฝ่ายประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร COLA KKU
Scroll to Top