สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 เริ่มรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในบางพื้นที่อยู่ในระดับส่งผลกระทบต่อสุขภาพ จนทำให้รัฐบาลมีมาตรการต่าง ๆ ออกมาต่อเนื่อง ทั้งการขอความร่วมมือทำงานที่บ้าน (Work From Home) การงดเก็บค่าเดินทางเพื่อให้ลดใช้รถยนต์ส่วนตัว รวมไปถึงการขอความร่วมมืองดเผาในที่โล่ง ซึ่งปัญหาการเผานี้นับเป็นอีกปัจจัยที่หลายคนให้ความสนใจ โดยเฉพาะการเผาอ้อยของเกษตรกรที่แม้จะมีมาตรการต่าง ๆ ออกมาแต่ก็ยังพบเห็นอย่างต่อเนื่อง รศ.ดร.ขวัญตรี แสงประชาธนารักษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ชวนมาหาคำตอบถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดการเผาอ้อยแม้สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 อยู่ในช่วงวิกฤต
รศ.ดร.ขวัญตรี แสงประชาธนารักษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดการเผาอ้อยว่า สาเหตุสำคัญมาจากค่าจ้างแรงงานตัดอ้อยสดกับอ้อยเผาต่างกันถึง 3 เท่า กลายเป็นต้นทุนให้เจ้าของไร่ต้องตัดสินใจเลือกการเผาเป็นทางออก และหากไม่เผาอ้อยคนงานบางส่วนก็ไม่ยอมตัดอ้อยเพราะมีทั้งหมามุ่ยและใบอ้อยรวมถึงขนอ้อยอาจทำให้บาดเจ็บและใช้เวลาตัดนานกว่าด้วย ขณะที่เจ้าของแปลงเล็ก ๆ ที่ไม่มีทั้งแรงงานและรถตัดอ้อยก็จำเป็นต้องขายเหมาแปลงให้รายใหญ่เข้ามาจัดการ ทำให้ไม่มีอำนาจต่อรองและบางครั้งหากไม่ยินยอมก็จะถูกลักลอบจุดไฟเผา และเมื่ออ้อยถูกเผาแล้วต้องรีบตัดเพื่อไม่ให้เน่าก่อนส่งไปโรงงานภายใน 24 ชั่วโมง
สำหรับไร่อ้อยที่ต้องการใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคนก็ต้องเผชิญกับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งลักษณะของอ้อยซึ่งเป็นพืชที่โตเป็นกอ ทำให้ต้องตัดโคนและแยกใบออกจากลำ ก่อนจะสับและเป่าแยกใบหลายรอบ จึงจำเป็นต้องใช้รถตัดอ้อยใหญ่ที่มีราคาอยู่ที่ประมาณ 12 ล้านบาท ส่วนรุ่นกลาง ๆ หรือมือสองอยู่ที่ 5-6 ล้านบาท และมาพร้อมข้อจำกัดที่ทำให้การตัดอ้อยช้าลง ยังไม่รับรวมปัญหาทั้งการติดหล่มทราย หล่มโคลน หรือเมื่อตัดแล้วยังต้องทยอยนำอ้อยมาใส่รถบรรทุกที่จอดนอกแปลงจนกว่าจะมีพื้นที่ให้รถบรรทุกวิ่งเข้าไปขนาบรถตัดอ้อยได้ซึ่งทั้งหมดนี้อาจต้องเพิ่มทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายให้เกษตรกรอีกนับไม่ถ้วน
นักวิจัยและหลายบริษัทต่างพัฒนาเครื่องมือเพื่อช่วยทุ่นแรงเกษตรกรไร่อ้อย รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม (สอน.) เองก็มีโครงการยืมเครื่องสางใบอ้อย แต่ก็ยังติดปัญหาเรื่องคนขับรถไถที่ติดเครื่องสางใบต้องแทรกตัวเข้าไปในป่าอ้อยที่มีทั้งฝุ่น ทั้งความร้อน รวมถึงขนใบอ้อยที่พร้อมเข้าตาเข้าคอ และหากขับไปกลางทางเจออ้อยล้มกลางแปลงก็ไปต่อไม่ได้ จนสุดท้ายเจ้าของแปลงก็ต้องจ้างคนมาตัดอยู่ดี ซึ่งค่าแรง 300 บาทขณะนี้ก็แทบไม่มีคนมาทำแล้ว ยังไม่รวมกับขั้นตอนอื่น ๆ ทั้งใช้เครื่องตัดวางรายหรือเครื่องตัดรวมกอง ไปจนถึงการใช้รถคีบลงรถบรรทุก พร้อมคนเรียงอ้อยบนรถอีก
“ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนในการตัดอ้อยสด ต้นทุนก็ไม่มีทางต่ำกว่าไฟแช็ก ราคา 6 บาทไปได้ ถ้ามองในแง่ต้นทุนอย่างเดียว ตัดอ้อยสดแพ้กระจุย แต่แน่นอนว่า ต้นทุนการตัดอ้อยไฟไหม้ที่ราคาถูกกว่า แต่มันก็แลกมาด้วย ต้องเสียอินทรีย์วัตถุในดิน เสียค่าปุ๋ยมากขึ้น ผลผลิตอ้อยตอปีต่อมาแย่ลง ไว้ตอได้น้อยลง ปัญหาแมลงและวัชพืชมากขึ้น และที่สำคัญคือการสร้างมลพิษ PM 2.5 จากการเผาในที่โล่ง และหลาย ๆ ครั้งที่คนเผาไม่ใช่เจ้าของแปลงด้วย”
อย่างไรก็ตาม โรงงานน้ำตาลเป็นโรงงานที่ใช้ระบบเครื่องจักรขนาดใหญ่ ใช้วงจรไอน้ำในการทำงาน เดินเครื่องแต่ละครั้งต้องดำเนินการต่อเนื่องไม่หยุด ทำให้ต้องมีอ้อยป้อนเข้าต่อเนื่อง เต็มกำลังการผลิตไม่เช่นนั้นจะทำให้โรงงานขาดทุน จนนำมาสู่การกำหนดวันเปิดหีบ และปิดหีบ และเป็นเหตุผลที่ชาวไร่ต้องขายอ้อยช่วงนี้เท่านั้น
“อ้อยเป็นพืชไร่ที่ตัดขายปีละครั้ง หากส่งไม่ทันจะสูญเสียรายได้ทั้งปี แม้จะทราบถึงผลเสียจากการเผา แต่บางคนก็เลือกวิธีนี้ ขณะเดียวกันชาวไร่ส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็ใส่ใจและพยายามไม่เผามานานแล้ว อ้อยไฟไหม้ตอนนี้ ก็มีทั้งคนที่จงใจ คนที่จำใจ และคนที่น่าเห็นใจที่โดนลูกหลงไฟลามมา”
มองโมเดลต่างประเทศ กับการจัดการปัญหาเผาอ้อย
อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวถึงแนวทางการจัดการปัญหาเผาอ้อยในต่างประเทศว่า ในบราซิลมีการจัดทำแผนแบนการเผาอ้อยให้เป็น 0 ในระยะเวลา 10 ปี ลงนามโดยชาวไร่ 19,000 รายและโรงงานทุกแห่ง โดยรัฐบาลช่วยค่าปรับปรุงแปลงอ้อย ปรับระยะห่างระหว่างแถว จัดรูปแปลงใหม่ เน้นให้สามารถใช้เครื่องจักรทำงาน จัดผังการขนส่ง และส่งเสริมผู้ผลิตเครื่องจักรในประเทศ บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น
ขณะที่ญี่ปุ่นมีกฎหมายแรง กำหนดให้อ้อยสดราคาสูง และมีการส่งเสริมให้จัดรูปแปลงใหม่ โดยยื่นข้อเสนอทำชลประทานให้ ส่วนเกาะนิวยูเนียน รับซื้ออ้อยพร้อมยอดและกาบใบ เพราะเน้นผลิตไฟฟ้ามากกว่าน้ำตาล สำหรับออสเตรเลีย มีเผาอยู่บางส่วนที่ลมพัดออกทะเล ประเทศอินเดีย ศรีลังกาก็มีความพยายามที่จะแบนการเผาอยู่เช่นกัน ซึ่งแต่ละประเทศจะมีเงื่อนไขต่างกัน บางประเทศไม่ใช่ผู้ส่งออกสามารถอุดหนุนราคาได้ บางประเทศอากาศชื้นช่วงตัดอ้อย ใบอ้อยย่อยสลายง่ายกว่าประเทศไทยมาก
สำหรับประเทศไทยสิ่งที่ยังทำได้ยาก คือ การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ทั้งการติดตาม จับกุม ปรับ ขังคนที่จุดไฟวางเพลิง เพราะเจ้าของแปลงบางแห่งก็ไม่ได้เป็นคนจุดเอง ขณะที่หลายพื้นที่มีการให้รางวัลนำจับซึ่งก็ช่วยได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ทางสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม รวมถึง สกว. สอวช. หน่วยงานต่าง ๆ จะมีโครงการวิจัยเกี่ยวกับอ้อยและน้ำตาล ให้อาจารย์มหาวิทยาลัยต่าง ๆ มีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง และยังมีการ up-skill re-skill ให้เจ้าหน้าที่และเกษตรกรอยู่เสมอเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหานี้ให้เป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
มข.ผลักดันนวัตกรรมลดเผาอ้อย – สร้างรายได้ให้ชาวไร่
รศ.ดร.ขวัญตรี ย้ำว่า การที่จะควบคุมต้นทุนผลผลิตเกษตรให้ต่ำ ไม่เคยเป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะในเวลาที่ค่าน้ำมันพุ่ง ค่าปุ๋ยแพงแบบปัจจุบัน แต่คนในวงการอ้อยก็ไม่ได้ต้องการอยู่กับการเผาตลอดไป ขณะที่มาตรการที่เกิดขึ้นขณะนี้มีทั้งการจำกัดการรับซื้ออ้อยไฟไหม้ไม่เกิน 25% และลดลงเรื่อย ๆ ให้อ้อยสดได้คิวเทอ้อยก่อน หรือเพิ่มเงินอ้อยสดสะอาด พร้อมด้วยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับรถตัดอ้อยหรือโครงการให้ยืมเครื่องสางใบอ้อย ตลอดจนการรับซื้อใบอ้อยมาผลิตพลังงาน หรือการรวมกลุ่มเกษตรกรแปลงเล็กที่ติดกันเป็นแปลงใหญ่ ร่วมกันวางแผนปลูกอ้อยและวางแนวไปในทางเดียวกัน
ขณะที่งานวิจัยจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นก็พยายามช่วยลดการเผาอ้อยควบคู่ไปกับการช่วยเพิ่มรายได้ให้ชาวไร่ ด้วยแนวทางการส่งเสริมชุดเครื่องจักรเก็บเกี่ยวลดการเผา โดรนประเมินผลผลิตและความหวานของอ้อยในแปลง เพื่อให้สามารถใช้รถอ้อยแบบรวมแปลงเล็กหลาย ๆ แปลงเป็นแปลงใหญ่ พัฒนาเครื่องสับกลบใบอ้อยในอ้อยตอ และเครื่องอัดใบอ้อยเป็นก้อนเต๋า 1 นิ้วเพื่อง่ายต่อการขนย้ายและใช้เป็นเชื้อเพลิง
นอกจากนี้ ทางคณะวิศวกรรมศาสตร์ ยังผลักดันผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จากใบอ้อยเพื่อเพิ่มมูลค่าทั้ง ไบโอพลาสติก, ไบโอชาร์, ปุ๋ย, น้ำมันเชื้อเพลิง พร้อมสร้างตลาดให้ผลิตภัณฑ์นั้น ๆ อย่างการเพิ่มมาตรการลดหย่อนภาษี หรือสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์ใบอ้อยจากวิสาหกิจชุมชน รวมถึงช่วยวางแผนโลจิสติกส์ ใบอ้อยให้สามารถขยายพื้นที่รับซื้อใบอ้อย ตลอดจนสนับสนุนโดรนอัตโนมัติ บินเก็บหลักฐานร่องรอยการเผา จากจุดความร้อนที่ได้จากภาพถ่ายดาวเทียม และใช้ AI ประมวลผลภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิด ช่วยจำแนกอ้อยสดและอ้อยเผาที่โรงงานอีกด้วย ซึ่งมาตรการและผลงานวิจัยเหล่านี้ได้นำมาใช้และขยายพื้นที่ตัดอ้อยสดมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
“อยากให้ทุกคนเห็นภาพถึงภาระต้นทุนและความเสี่ยงที่คนตัดอ้อยสดได้แบกรับอยู่ในปัจจุบัน เพราะการแก้ปัญหาใด ๆ จะดีไม่น้อย หากต่างฝ่ายต่างเข้าใจกัน เห็นถึงทางเลือกทั้งหมด และข้อจำกัดที่แต่ละฝ่ายมี ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ต้องจริงจังและต่อเนื่อง จะลดปัญหาการเผาก่อนตัดได้อย่างแน่นอน และยิ่งมีวิธีช่วยเพิ่มมูลค่าให้ใบอ้อย รวมถึงมีกลไกเพื่อสนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์จากใบอ้อย การเผาหลังตัดก็จะหายไปได้เหมือนกัน เพียงแต่ต้องใช้เวลาพอสมควร เนื่องจากขนาดของอุตสาหกรรมนี้ในประเทศไทยนั้นใหญ่มาก ๆ”