เมื่อกาลพฤกษ์ช่อใหม่ถูกประดับไว้บนต้นสุวรรณกาลพฤกษ์เมื่อใด ย่อมเป็นสัญญาณว่า นักศึกษาใหม่ทุกคน ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวมหาวิทยาลัยขอนแก่นแล้ว และเตรียมตัวเป็นช่อกาลพฤกษ์ที่พร้อมเบ่งบานต่อไปในอีกไม่ช้า สิ่งต่อไปที่รุ่นพี่จะมอบให้กับน้องใหม่ คือการพาไปรู้จักจิตวิญญาณของชาวมข. เป็นรากเหง้าเป็นแก่นที่พวกเราเคารพบูชา นั่นคือการพาน้องใหม่ ไปสักการะพระธาตุพนมซึ่งเป็นสัญลักษณ์ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร จ.นครพนม
จากความเชื่อบวกกับความศรัทธาที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นจึงนำมา ซึ่งการจัดโครงการที่ยิ่งใหญ่ในแต่ละปี
โครงการนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นสักการะพระธาตุพนม หรือที่เรารู้จักกันดีคือ “โครงการน้องใหม่ไหว้พระธาตุ” เป็นกิจกรรมประเพณี ที่องค์การนักศึกษาจัดขึ้นทุกปี เพื่อเป็นการสร้างความตระหนักรู้ทางสถาบัน และการฝากตัวเป็นลูกพระธาตุ หลานพระธรรม เป็นข้าโอกาสแห่งองค์พระธาตุพนม ปีนี้จัดขึ้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม พ.ศ.2567 ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อ.ธาตุพนม จ.นครพนม โดยมีนักศึกษาร่วมกิจกรรมกว่า 300 คน
กาลสักการ์ มหาเจติยัง จึงเป็นกรอบแนวคิด สำหรับการจัดกิจกรรมโครงการน้องใหม่ไหว้พระธาตุ ในปีนี้
พรหมภพ วอหา นายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น เล่าถึงการจัดโครงการนี้ผ่านรายการ “รอบรั้วมข.” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงมหาวิทยาลัยขอนแก่น F.M.103 MHz. ว่า ปีนี้องค์การนักศึกษา จัดโครงการภายใต้แนวคิด “กาลสักการ์ มหาเจติยัง” โดยคำว่า “กาล” สามารถสื่อได้ 2 ความหมาย คือ กาล ที่แปลว่า กาลเวลา กล่าวคือ ในห้วงเวลาแห่งความศรัทธา เหล่าลูกพระธาตุหลานพระธรรมแห่งมหาวิทยาลัยขอนแก่นจะได้ร่วมเดินทางไปกราบนมัสการองค์พระธาตุพนม อันเป็นปูชนียสถานสำคัญที่เปรียบเสมือนศูนย์รวมแห่งจิตใจและสติปัญญา การเดินทางครั้งนี้จึงเป็นเหมือนวัฏจักรของชีวิต และการเชื่อมโยงรากเหง้าแห่งศรัทธาจากรุ่นสู่รุ่น และอีกความหมายหนึ่ง คือ กาลพฤกษ์ สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยขอนแก่น ต้นไม้ที่พร้อมเบ่งบานในทุกปี เติมเต็มความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างความทรงจำในอดีต มาถึงการสร้างสรรค์แห่งปัจจุบัน และพร้อมที่จะผลิดอกอีกครั้งในอนาคต ส่วน เจติยัง หรือองค์พระธาตุพนม ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจและความศรัทธาของของชาวอีสาน และชาวไทย-ลาว ที่อยู่สองฝั่งโขง การเดินทางนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของความผูกพัน สะท้อนถึงการให้ความเคารพศรัทธา ในพระพุทธศาสนาจากอดีตจวบจนปัจจุบัน
พระธาตุพนม ไม่เพียงแต่เป็นรากเหง้าของชาวมข. แต่พระธาตุพนมยังถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทอีสาน โดยองค์พระธาตุพนม ถือเป็นปูชนียสถานที่สำคัญของภาคอีสาน รวมไปถึงชาวไทย-ลาว สองฝั่งโขง เพราะเป็นพระธาตุที่บรรจุพระอุระ (กระดูกส่วนอก) ซึ่งเป็นพระบรมอัฐิของพระพุทธเจ้า ทำให้พุทธศาสนิกชนต่างไปสักการบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต และยังเป็นต้นกำเนิดตำนานพระธาตุพนมในอุรังคนิทานในปัจฉิมโพธิกาล การสักการะหรือฝากตัวเป็นลูกพระธาตุพนมจึงเป็นการสะท้อนความเชื่อ ความศรัทธาของชาวไทอีสาน และเป็นการดำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาไปพร้อมกัน ซึ่งสอดคล้องกับมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) จึงได้นำจิตวิญญาณที่ชาวอีสานสักการบูชามาเป็นตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย ให้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและเชื่อมโยงความผูกพันของรุ่นพี่รุ่นน้องทุกคน โดยเป็นตราพระธาตุพนมที่มีเทพยดากระหนาบทั้ง 2 ข้าง สถิตเหนือขอนไม้ซึ่งสลักเป็นชื่อมหาวิทยาลัย และมีพื้นหลังเป็นตรีมุข 3 ช่อง ซึ่งมีความหมายถึงคุณธรรมของนักศึกษา 3 ประการ คือ วิทยา คือความรู้ดี จริยา คือความประพฤติดี และปัญญา คือความฉลาด เกิดแต่การเรียนดีและคิดดี ความสิริมงคลนี้จะถูกประดับไว้ที่หน้าอกข้างซ้ายของนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นทุกคน แม้ว่าแก่นแท้ของกิจกรรมนี้คือการไปสักการะพระธาตุพนม และฝากตัวเป็นลูกพระธาตุ หลานพระธรรม ตามที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาทุกปี แต่นักศึกษา บุคลากร ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยขอนแก่น หรือผู้ศรัทธาพระธาตุพนม ยังได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสักการะผ่านการเขียนชื่อหรือคำอธิษฐานบนผ้าที่จะใช้ห่มองค์พระธาตุพนม และร่วมบุญสมทบทุนทอดผ้าป่านักศึกษา นำรายได้ถวายแด่วัดพระธาตุพนมด้วย
การจัดริ้วขบวนวัฒนธรรมในแต่ละปีจะนำอัตลักษณ์ที่โดดเด่นในแต่ละท้องถิ่นมาตีความใหม่ และสร้างสรรค์ผลงานออกมา ปีนี้ริ้วขบวนถูกจัดขึ้นภายใต้แนวคิด ชุดแฟชั่นสมัยรัชกาลที่ 6-7
พรหมภพ ยังได้เล่าถึงแนวคิดในการจัดริ้วขบวนวัฒนธรรมด้วยว่า อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นความน่าสนใจและเป็นความภาคภูมิใจขององค์การนักศึกษา คือการจัดริ้วขบวนวัฒนธรรม ที่ในแต่ละปีจะนำอัตลักษณ์ที่โดดเด่นในแต่ละท้องถิ่นมาตีความใหม่ และสร้างสรรค์ผลงานออกมาเป็นขบวนนักศึกษาที่เปรียบเสมือนเทพยดาอัญเชิญเครื่องสักการะและผ้าห่มองค์พระธาตุพนมมาสถิตไว้บริเวณพิธี ซึ่งในปีนี้จัดออกมาภายใต้แนวคิด ชุดแฟชั่นสมัยรัชกาลที่ 6-7 โดยนำแรงบันดาลใจเมื่อสยามเริ่มรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา ข้าราชสำนักฝ่ายในตื่นตัวรับแบบอย่างและวิธีการแต่งกายมาผสมผสานดัดแปลงให้เข้ากับวัฒนธรรมไทยดั้งเดิม ในสมัยรัชกาลที่ 6 เริ่มนุ่งซิ่น เสื้อผ้าแพรโปร่งบางหรือผ้าพิมพ์ลายดอก อกเสื้อกว้าง แขนสั้นประมาณต้นแขน ทรงผมไว้ยาวเสมอต้นคอ ดัดเป็นลอนที่เรียกว่าผมบ็อบ ตัดสั้นระดับใบหูตอนล่าง นิยมดัดข้างหลังโค้งเข้าหาต้นคอเล็กน้อยที่เรียกว่าทรงซิงเกิ้ล ใช้เครื่องประดับคาดรอบศีรษะ สวมสร้อยไข่มุก ต่างหูระย้า
ส่วนสมัยรัชกาลที่ 7 เลิกนุ่งโจงกระเบน แต่นุ่งซิ่นยาวแค่เข่า สวมเสื้อทรงกระบอกตัวยาวคลุมสะโพก แขนกุด ผมสั้นดัดเป็นลอน หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง คนไทยสนใจอารยธรรมตะวันตกอย่างเต็มที่ การแต่งกายจึงเลียนแบบฝรั่งมากขึ้น ห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านได้สะท้อนผ่านการแต่งกายที่เปลี่ยนแปลงไป เปรียบเสมือนกาลเวลาที่นำน้องใหม่มาพานพบจิตวิญญาณของมหาวิทยาลัย นี่จึงเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ขบวนปีนี้
การจัดริ้วขบวนวัฒนธรรม นอกจากความคิดสร้างสรรค์ สู่ความงดงามของริ้วขบวนแล้ว การเตรียมงานเบื้องหลังก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะนอกจากนักศึกษาได้เรียนรู้การทำงานร่วมกันแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการขององค์การนักศึกษา
การบริหารจัดการเบื้องหลังการทำงานให้ขับเคลื่อนไปอย่างราบรื่นเป็นสิ่งที่สำคัญ ผู้ที่รับหน้าที่ที่สำคัญในปีนี้คือ ภูมินทร์ เกณสาคู อุปนายกองค์การนักศึกษา คนที่ 1 ประธานผู้รับผิดชอบโครงการฯ ได้เล่าถึงความท้าทาย ในการบริหารจัดการโครงการนี้ ว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่ใหญ่ มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก และที่สำคัญเป็นโครงการที่จัดขึ้นนอกพื้นที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทำให้ต้องมีการวางแผนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ และมีการประสานงานทั้งภายในและภายนอกอย่างครอบคลุม นอกจากองค์การนักศึกษาจะเป็นแม่งานหลักในการจัดโครงการแล้ว ยังได้เชิญนักศึกษาชมรมพุทธศาสน์และประเพณีมาเป็นที่ปรึกษาและคณะทำงานด้านศาสนพิธี และยังได้รับความร่วมมือจากสโมสรนักศึกษาทุกคณะ และวิทยาลัย ในการนำนักศึกษามาเข้าร่วมกิจกรรมและช่วยดูแลนักศึกษาอีกทางหนึ่ง ในขณะที่องค์การนักศึกษาเองได้มีการแบ่งฝ่ายการทำงานให้ครอบคลุมทุกส่วนงาน ทั้งยังได้ประสานงานกับหน่วยงานภายในมหาวิทยาลัย หน่วยงานภายนอก ณ จังหวัดนครพนม วัดพระธาตุพนม รวมไปถึงการจัดหาที่พัก ชุดเครื่องนอน ยาสามัญประจำบ้าน อาหารครบทุกมื้อ และมีคณะทำงานหลายคนเดินทางไปจัดเตรียมสถานที่ล่วงหน้าเพื่อเตรียมความพร้อมให้มากที่สุด
อีกหนึ่งความภูมิใจของชาว มข. คือการได้นำวงดนตรีโปงลางสินไซ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ไปแสดงในการสมโภชองค์พระธาตุพนม และสร้างความสุขให้กับนักศึกษาที่ไปร่วมกิจกรรม และพี่น้องชาวอำเภอธาตุพนมที่มาร่วมชมการจัดกิจกรรมด้วย
ภูมินทร์ ยังได้กล่าวถึงผู้ให้การสนับสนุนกิจกรรมนี้ด้วยว่า ขอขอบคุณ ผศ.ดร.กภ.คุรุศาสตร์ คนหาญ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ ที่เป็นผู้อำนวยการหลักที่ส่งเสริมการจัดโครงการ รวมถึงขอบคุณกองพัฒนานักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ กองป้องกันและรักษาความปลอดภัย ขอกราบขอบคุณเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม คณะสงฆ์ทุกรูป บุคลากรภายในวัด และขอบคุณส่วนราชการทุกหน่วยงานของจ.นครพนม ที่อำนวยความสะดวกในการจัดโครงการ และขอบคุณพ่อแม่พี่น้องชาวนครพนมทุกคน
สำหรับโครงการนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นสักการะพระธาตุพนม ประจำปี 2567 “น้องใหม่ไหว้พระธาตุ”ภายใต้แนวคิด “กาลสักการ์ มหาเจติยัง” จึงเป็นโครงการที่มาจากความภาคภูมิใจขององค์การนักศึกษาช่วยเสริมสร้างความผูกพันในหมู่นักศึกษาและสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ลูกพระธาตุหลานพระธรรมทุกคน เป็นประเพณีที่สะท้อนจิตวิญญาณของมหาวิทยาลัยขอนแก่นอย่างแท้จริง
ข่าว : พรหมภพ วอหา นักศึกษาฝึกสหกิจศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย มข. / เบญจมาภรณ์ มามุข
ภาพ : นางสาวชญานิน สุทธิโคตร นักศึกษาฝึกสหกิจศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย มข. / องค์การนักศึกษา
ประมวลภาพกิจกรรม : https://www.facebook.com/share/p/FiaCM9CiTTTUVccT/?mibextid=WC7FNe
https://www.facebook.com/share/p/xuQt37RrLCUweFGU/?mibextid=WC7FNe